แฟ้มสะสมงานในรายวิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556
วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556
สัปดาห์ที่ 6
การเรียนการสอน
พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆ รวามทั้งตัวบุคคล ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (พัฒนาการสำหรับเด็กพิเศษมีทั้งพัฒนาขึ้น พัฒนาอยู่กับที่ และพัฒนาถอยลง)
เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
- เด็กที่มัพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน
- พัฒนาการล่าช้าอาจพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หลายด้านหรือทุกด้าน
- พัฒนาการล่าในด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการด้านอื่นล่าช้าด้วยก้ได้
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการเด็ก
- ปัจจัยทางชีวภาพ
- ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด
- ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด
- ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด
สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
- โรคทางพันธุกรรม เด็กอาจมีพัฒนาการล่าช้าตั้งแต่เกิดหรือสังเกตได้ชั่วระยะไม่นานหลังเกิดมักจะมีลักษณะผิกปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย (คือ หูหนวก ตาบอด)
- โรคทางระบบประสาท เด้กมีความบกพร่องทางพัฒนาการส่วนใหญ่มักมีอาการหรืออาการแสดงทางระบบประสาทร่วมด้วยที่พบบ่อย คืออาการชัก
- การติดเชื้อ การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็กกว่าปกติ อาจมีตับม้ามโต การได้ยินบกพร่อง ต้อกระจก นอกจากนี้การติดเชื้อรุนแรงหลังเกิด เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ้าง
- ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม โรคที่มักเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย คือ โรค ไทรอยด์ ฮอร์โมนในเม็ดเลือดต่ำ
- ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด การเกิดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยและภาวะขาดออกซิเจน
- สารเคมี
- แอลกอฮอร์ น้ำหนักแรกเกิดน้อย มีอัตราการเพิ่มน้ำหนักหลังเกิดน้อย ศีรษะเล็ก พัฒนาการของสติปัญญาก็มีความบกพร่อง เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
Fetal alcohol syndrome,FAS
- ช่องตาสั้น
- ช่องริมฝีปากบนเรียบ
- ริมฝีปากบนยาวและบาง
- หนังคลุมหัวตามาก
- จมูกแบน
- ปลายจมูกเชิดขึ้น
- นิโคติน น้ำหนักแรกเกิดน้อย ขาดสารอาหารในระยะตั้งครรภ์ เพิ่มอัตตราการตายในวัยทารก สติปัญญาบกพร่อง สมาธิสั้น พฤติกรรมก้าวร้าว มีปัญญหาด้านการเข้าสังคม
7. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร
อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
- มีพัฒนาการล่าช้าอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน
- ปฏิกิริยาสะท้อนไม่หายไปแม้จะถึงช่วงอายุที่ควรจะหายไป
แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
- ซักประวัติ
- โรคทางพันธุกรรม
- ประวัติฝากครรภ์
- ประวัติเกี่ยวกับการคลอด
- พัฒนาการที่ผ่านมา
- การเล่นตามวัย
- การช่วยเหลือตนเอง
- ปัญหาพฤติกรรม
- ประวัติอื่นๆ
เมื่อซักประวัติแล้วสามารถบอกได้ว่า
- ลักษณะพัมนาการล่าช้าเป็นแบบคงที่หรือถดถอย
- เด็กมีระดับพัฒนาการช้าหรือไม่อย่างไรอยู่ในระดับไหน
- มีข้อสงสัยว่ามีสาเหตุจากโรคทางพันธุกรรมหรือไม่
- สาเหตุของความบกพร่องทางพัฒนาการนั้นเกิดจากอะไร 2. การตรวจร่างกาย
- ตรวจร่างกายทั่วๆ ไปและการเจริญเติบโต
- ภาวะ ตับ ม้าม ไต
- ผิวหนัง
- ระบบประสาทและวัดรอบศีรษะด้วยเสมอ
- ดูลักษณะของเด็กที่ถูกทารุณกรรม (Child abuse)
- ระบบการมองเห็นและการได้ยิน
3. การสืบค้นห้องปฏิบัติการ
4. การประเมินพัฒนาการ
4. การประเมินพัฒนาการ
- การประเมินแบบเป็นทางการ
การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ
- แบบทดสอบ Denver ll
- Gesell Drawing Test
- แบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุแรกเกิด-5 ปี สถาบันราชานุกูล
วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
สัปดาห์ที่ 4
การเรียนการสอน
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with behavioral and Emotional Disorders)
- เด็กที่ควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆ ไม่ได้
- เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
- ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่มกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
แบ่งได้ 2 ประเภท
1. เด็กที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์ (สอนไม่ได้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้)
2. เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ (สามารถสอนให้ปรับตัวเข้ากับสังคมได้)
เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้มีพฤติกรรมที่เห็นได้ชัด
- วิตกกังวล
- หนีสังคม
- ก้าวร้าว
การจะจัดว่าเด็กมีความบกพร่องทางพฤติกกรรมและอารมณ์ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ ดังนี้
- สภาพแวดล้อม
- ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
-ไม่สามารถเขียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
- รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
- มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน
- มีความคับข้องใจและมีความเก็บกดอารมณ์
- แสดงอาการของร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่างๆ
ของร่างกาย
- มีความหวาดกลัว
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
- อุจจาระปัสสาวะรดเสื้อผ้าหรือที่นอน
- ยังติดขวดนมหรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
- ดูดดนิ้ว กัดเล็บ
- เหงาหงอยเศร้าซึม หนีสังคม
- เรียกร้องความสนใจ
- อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
- ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
- ฝันกลางวัน
- พูดเพ้อเจ้อ
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disability) เรียกย่อๆ ว่า L.D (Learning Disability)
- เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
- เด็กที่มีปัญหาทางการใช้ภาษาหรือการพูด การเขียน
- ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด้กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการหรือความบกพร่องทางร่างกาย
ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
- มีปัญหาในทักษะคณิตศาสตร์
- ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้
- เล่าเรื่อง/ลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
- มีปัญหาด้านการอ่าน เขียน
- รับลูกบอลไม่ได้
- ติดกระดุมไม่ได้
- เอาแต่ใจตนเอง
- เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
- ติดตัวไปตลอดชีวิต
- ทักษะทางภาษา 50%
- ทักษะทางสังคม 50%
- ทักษะทางการเคลื่อนไหว 100%
- ทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรงขนาดและพื้นที่ 100%
ลักษณะของเด็กออทิสติก
- อยู่ในโลกของตนเอง
- ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
- ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
- ไม่ยอมพูด
- เคลื่อนไหวแบบช้าๆ
- ยึดติดวัตถุ
- ต่อต้านหรือแสดงปฏิกิริยาอารมณ์รุนแรงและไร้เหตุผล
- มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
- ใช้วิธีการสัมผัสและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยวิธีต่างจากคนทั่วไป
เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps)
- เด็กมีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่างเป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
- เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
- เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
- เด็กที่ทั้งตาบอดและหูหนวก
- ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
-ไม่สามารถเขียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
- รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
- มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน
- มีความคับข้องใจและมีความเก็บกดอารมณ์
- แสดงอาการของร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่างๆ
ของร่างกาย
- มีความหวาดกลัว
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
- เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
- เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิซึ่ม (Autisum)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
- อุจจาระปัสสาวะรดเสื้อผ้าหรือที่นอน
- ยังติดขวดนมหรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
- ดูดดนิ้ว กัดเล็บ
- เหงาหงอยเศร้าซึม หนีสังคม
- เรียกร้องความสนใจ
- อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
- ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
- ฝันกลางวัน
- พูดเพ้อเจ้อ
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disability) เรียกย่อๆ ว่า L.D (Learning Disability)
- เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
- เด็กที่มีปัญหาทางการใช้ภาษาหรือการพูด การเขียน
- ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด้กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการหรือความบกพร่องทางร่างกาย
ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
- มีปัญหาในทักษะคณิตศาสตร์
- ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้
- เล่าเรื่อง/ลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
- มีปัญหาด้านการอ่าน เขียน
- รับลูกบอลไม่ได้
- ติดกระดุมไม่ได้
- เอาแต่ใจตนเอง
เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิซึ่ม (Autisum)
- เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรง ในการสื่อความกมาย พฤติกรรม สังคมและความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้- เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
- ติดตัวไปตลอดชีวิต
- ทักษะทางภาษา 50%
- ทักษะทางสังคม 50%
- ทักษะทางการเคลื่อนไหว 100%
- ทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรงขนาดและพื้นที่ 100%
ลักษณะของเด็กออทิสติก
- อยู่ในโลกของตนเอง
- ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
- ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
- ไม่ยอมพูด
- เคลื่อนไหวแบบช้าๆ
- ยึดติดวัตถุ
- ต่อต้านหรือแสดงปฏิกิริยาอารมณ์รุนแรงและไร้เหตุผล
- มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
- ใช้วิธีการสัมผัสและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยวิธีต่างจากคนทั่วไป
เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps)
- เด็กมีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่างเป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
- เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
- เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
- เด็กที่ทั้งตาบอดและหูหนวก
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
สัปดาห์ที่ 3
การเรียนการสอน
- เด็กมีอวัยวะไม่สมส่วน
- อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
- มีปัญหาทางระบบประสาท
- มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
จำแนกเป็น
1.อาการบกพร่องทางร่างกาย
- ซีพี (Cerebral plsy) เป็นอัมพาตเนื่องจากประสาทสัมผัสสมองพิการหรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอดหรือหลังคลอด
- การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพีมีความบกพร่องที่เกิดจากสมองส่วนต่างๆ อาการแตกต่างกัน
- อัมพาตเกร็งของแขนขา หรือครึ่งซีก
- อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ
- อัมพาตสูญเสียการทรงตัว
- ตัวแข็ง
- แบบผสม
กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Musculur Distrophy)
- เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้นๆ เสื่อมสลายตัว
- เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
- มีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม
โรคระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Crthopedic)
- ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Clud Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อน เนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนร่างไม่ติด
- ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ เช่น กระดูกหลังโกง กระดูกผุเป็นแผลเรื้อรัง
โปลิโอ (Polioayelltis) มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญาเกิดจากเชื้อไวรัสที่เข้าทางปากโดยการกินข้าว กินน้ำที่ไม่สะอาด เชื้อไวรัสจะไปเจริญเติบโตที่ลำไส้ เมื่อเชื้อเจริญเติบโตก้จะส่งผลไปสู่ระบบเลือดและระบบประสาท
- ยืนไม่ได้อาจปรับสภาพให้ยืนได้ด้วยอุปกรณ์เสริม
แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency)
โรคกระดูกอ่อน (Osteogenesis lmperfeta)
2.ความบกพร่องทางสุขภาพ
- โรคลมชัก (Epilepsy)
- เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องจากความผิดปกติของระบบสมอง
2.1 ลมบ้าหมู (Grand Mall) เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
2.2 การชักในช่วงเวลาสั้นๆ (Petit Mall)
- เป็นอาการชักในช่วงเวลาสั้นๆ 5-10 นาที
- เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
- เด็กจะนั่งเฉยหรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
2.3 การชักแบบรุนแรง (Grand Mall) เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึกล้มลง กล้ามเนื้อเกร็งเกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหายและนอนหลับไปชั่วครู่
2.4 อาการชักแบบ Partial complex
- เกิดอาการเป็นระยะๆ
- กัดริมฝีปากไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขา เดินไปมา
- บางคนอาจเกิดความโกรธหรือโมโหหลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้และต้องการนอนพัก
2.5 อาการไม่รู้สึกตัว (Focal partial) เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึตัวอาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
- โรคระบบทางเดินหายใจ
- โรคเบาหวาน
- โรคข้ออักเสบแบบบรูมาตอยด์
- โรคศีรษะโต
- โรคมะเร็ง
-โรคหัวใจ
-โรคเลือดไหลไม่หยุด
ลักษณะเด็กบกพร่องทางร่างและสุขภาพ
- ปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
- ท่าเดินคล้ายกรรไกร
- เดินขากระเผลกหรืออืดอาดเชื่องช้า
- ไอแห้งบ่อยๆ
- มักบ่นเจ็บหน้าอกปวดหลัง
- หน้าแดงง่ายมีสีเขียวจางบนแก้มริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
- หกล้มบ่อยๆ
- หิวและกระหายน้ำเกินกว่าเหตุ
เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language)
เด็กพูดไม่ชัดออกเสียงผิดเพี้ยนอวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้นการใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นดังตั้งใจมีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูดมี 4 ประเภท
1. ความผิดปกติด้านการออกเสียง
- ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม
- เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคำโดยไม่จำเป็น
- เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาด เป็น ฝาด
2. ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น การพูดรัว การพูดติดอ่าง
3. ความผิดปกติด้านเสียง
- ระดับเสียง
- ความดัง
- คุณภาพเสียง
4. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมองโดยทั่วไปเรียกว่า Dys aphasia หรือ
4.1 Motor aphasia
- เด็กที่เข้าใจคำถามหรือคำสั่งแต่พูดไม่ได้ออกเสียงลำบาก
- พูดช้าๆ พอพูดตามได้บ้างเล็กน้อยบอกชื่อสิ่งของพอได้
- พูดไม่ถูกไวยากรณ์
4.2 Wernicke's aphasia
- เด็กไม่เข้าใจคำถามหรือคำสั่งได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย
- ออกเสียงไม่ติดขัดแต่มักใช้คำผิดๆ หรือใช้คำอื่นซึ่งไม่มีความหมายมาแทน
4.3 Conduction aphasia
เด็กออกเสียงไม่ติดขัดเข้าใจคำถามดี แต่พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
4.4 Nominal aphasia
เด็กที่ออกเสียงได้เข้าใจคำถามดี พูดตามได้แต่บอกชื่อวัตถุไม่ได้พราะลืมชื่อบางทีก็ไม่เข้าใจความหมาย
4.5 Global aphasia
- เด็กที่ไม่เข้าใจภาษาพูดและภาษาเขียน
- พูดไม่ได้เลย
4.6 Sensory agraphasia
เด็กเขียนเองไม่ได้ เขียนตอบคำถามหรือเขียนชื่อวัตถุก็ไม่ได้มักเกิดร่วมกับ (Gerstmann's Syndrome)
4.7 Motor agraphasia
- เด็กที่ลอกตัวเขียนหรือตัวพิมพืไม่ได้
- เขียนตามคำบอกไม่ได้
4.8 Cortical alexia
เด็กที่อ่านไม่ออกเพราะไม่เข้าใจภาษา
4.9 Motor alexia
เด็กที่เห็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์เข้าใจความหมายแต่อ่านออกเสียงไม่ได้
4.10 Gerstmann's Syndrome
- ไม่รู้ชื่อนิ้ว(finger agnosia)
- ไม่รู้ซ้ายขวา (allc chiria)
- คำนวณไม่ได้ (acalculia)
- เขียนไม่ได้ (agraphia)
- อ่านไม่ออก (alexia)
4.11 Visual agnosia
เด็กที่มองเห็นวัตถุแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรบางทีบอกชื่อนิ้วตัวเองไม่ได้
4.12 Auditory agnosia
เด็กที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยินแต่แปลความหมายของ
คำหรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ
ลักษณะเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
- ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
- ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
- ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
- หลัง 8 ขวบ ภาษาพูดของเด็กก็ยังเข้าใจยาก
- ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
- หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
- มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
- ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
สัปดาห์ที่ 2
การเรียนการสอน
อาจารย์แจ้งคะแนนการส่งงานใหม่ดังนี้
- งานจิตพิสัย 10 คะแนน
- งานเดี่ยว 10 คะแนน
- งานกลุ่ม (นำเสนอ) 10 คะแนน
- บันทึกอนุทินลงบล็อก10 คะแนน
- โทรทัศน์ครู 10 คะแนน
- สอบกลางภาค 15 คะแนน
- สอบปลายภาค 15 คะแนน
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Children with special)
1.ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า "เด็กพิการ" หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียความสามารถอาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
2.ทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีความต้องการเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้แตกต่างไปจากเด็กปกติทางด้าน เนื้อหา หลักสูตร กระบานการที่ใช้และการประเมินผล
สรุปได้ว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง
- เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้ความช่วยเหลือและการสอนตามปกติ
- มีสาเหตุจากความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญาและอารมณ์
- จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือการบำบัดและฟื้นฟู
- จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ 2 กลุ่ม
1.กลุ่มที่มีลักษณะทางความสามรถสูงมีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกทั่วๆไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"
2.กลุ่มที่มีลักษณะทางความบกพร่อง กระทรวงศึกษาได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กบกพร่องทางเห็น
4.เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
6.เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
8.เด็กออทิสติก
9.เด็กพิการซ้อน
เด็กบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilitios)
หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้าและเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามรถในการเรียนช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
ภายนอก
- เศรษฐกิจของครอบครัว
- การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
- สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
- การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
- วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ภายใน
- พัฒนาการช้า
- การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
- เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
- แสดงลักษณะเฉพาะ คือ ระดับสติปัญญาต่ำ
- มีความสามรถในการเรียนรู้น้อย
- มีความจำกัดทางด้านทักษะ
- มีพัฒนาการทางด้านร่างกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา(IQ) 4 กลุ่ม
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆ ได้เลยต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 ไม่สามารถเรียนได้ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองเป็นกิจวัตรประจะวันเบื้องต้นง่ายๆ 2 กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mantal Retardation)
3.เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 20-34 พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆ ได้สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนในระดับประถมศึกษาได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆ ได้ เรียกโดยทั่วไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูดหรือพูดได้ไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
- ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า
- รุนแรง ไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
เด็กบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องที่สูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การฟังเสียงต่างๆ ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือเด้กหุตึงและเด็กหูหนวก
เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินแต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB เด็กจะมีปัญหาในการฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพุดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ค่อยชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเบาหรือเสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 51-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีปัญหาทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยได้ด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูดเด็กหูหนวก
- เด็กสูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักจะตะแคงหูฟัง
- ไม่พูดมักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ถูดหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลกมักเปล่งเสียงสูง
- พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
- เวลาฟังมักจะมองปากผู้พูดหรือจ้องหน้าผู้พูด
- รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
- มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดคุย
เด็กบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองมไม่เห็นหรือพอเห็นแสงเห็นเลือนลาง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้ง 2 ข้าง
- สามารถมองเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา จำแนกได้ 2 ประเภท คือ ตาบอดและตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
- เด็กไม่สามารถมองเห็นได้เลยหรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุด 5 องศา เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18,20/60,6/60,20/200
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
- เด็กงุ่มง่าม ชนและสรุปวัตถุ
- มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศีรษะชิดกับงานหรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
- มีความลำบากในการจำและแยกแยะสีที่เป็นรูปร่างเรขาคณิต
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนในระดับประถมศึกษาได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆ ได้ เรียกโดยทั่วไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูดหรือพูดได้ไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
- ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า
- รุนแรง ไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
เด็กบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องที่สูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การฟังเสียงต่างๆ ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือเด้กหุตึงและเด็กหูหนวก
เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินแต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB เด็กจะมีปัญหาในการฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพุดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ค่อยชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเบาหรือเสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 51-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีปัญหาทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยได้ด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูดเด็กหูหนวก
- เด็กสูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักจะตะแคงหูฟัง
- ไม่พูดมักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ถูดหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลกมักเปล่งเสียงสูง
- พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
- เวลาฟังมักจะมองปากผู้พูดหรือจ้องหน้าผู้พูด
- รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
- มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดคุย
เด็กบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองมไม่เห็นหรือพอเห็นแสงเห็นเลือนลาง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้ง 2 ข้าง
- สามารถมองเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา จำแนกได้ 2 ประเภท คือ ตาบอดและตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
- เด็กไม่สามารถมองเห็นได้เลยหรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุด 5 องศา เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18,20/60,6/60,20/200
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
- เด็กงุ่มง่าม ชนและสรุปวัตถุ
- มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศีรษะชิดกับงานหรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
- มีความลำบากในการจำและแยกแยะสีที่เป็นรูปร่างเรขาคณิต
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
สัปดาห์ที่ 1
การเรียนการสอน
อาจารย์อธิบายแนวการสอน
- พร้อมกับให้หางานวิจัยเกี่ยวข้องกับเด็กพิเศษเป็นงานเดี่ยวซ้ำเรื่องได้ 2 คน พร้อมนำเสนอสัปดาห์ที่ 12-13 (10 คะแนน)
- งานกลุ่มนำเสนอประเภทของเด็กพิเศษสัปดาห์ที่ 6-7 (20 คะแนน)
- ทำบล็อกบันทึกเฉพาะสิ่งที่เรียนเท่านั้น (20 คะแนน)
- อาจารย์ทำการทดสอบก่อนเรียนโดยให้ทุกคนทำ My Mapping เรื่องเด็กพิเศษเมื่อนึกถึงเด็กพิเศษจะนึกถึงอะไรบ้างทำเป็นองค์ความรู้ส่งอาจารย์
สะท้อนความรู้ที่ได้จากสิ่งที่เรียน
ควรศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองในเรื่องที่เรียนก่อนล่วงหน้าให้มากกว่านี้เมื่อเรียนแล้วจะได้เป็นการทบทวนความรู้ที่ตนเองได้ศึกาามาก่อนล่วงหน้าจะทำให้เข้าใจเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่ให้มากขึ้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)