การเรียนการสอน
อาจารย์แจ้งคะแนนการส่งงานใหม่ดังนี้
- งานจิตพิสัย 10 คะแนน
- งานเดี่ยว 10 คะแนน
- งานกลุ่ม (นำเสนอ) 10 คะแนน
- บันทึกอนุทินลงบล็อก10 คะแนน
- โทรทัศน์ครู 10 คะแนน
- สอบกลางภาค 15 คะแนน
- สอบปลายภาค 15 คะแนน
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Children with special)
1.ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า "เด็กพิการ" หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียความสามารถอาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
2.ทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีความต้องการเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้แตกต่างไปจากเด็กปกติทางด้าน เนื้อหา หลักสูตร กระบานการที่ใช้และการประเมินผล
สรุปได้ว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง
- เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้ความช่วยเหลือและการสอนตามปกติ
- มีสาเหตุจากความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญาและอารมณ์
- จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือการบำบัดและฟื้นฟู
- จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ 2 กลุ่ม
1.กลุ่มที่มีลักษณะทางความสามรถสูงมีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกทั่วๆไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"
2.กลุ่มที่มีลักษณะทางความบกพร่อง กระทรวงศึกษาได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กบกพร่องทางเห็น
4.เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
6.เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
8.เด็กออทิสติก
9.เด็กพิการซ้อน
เด็กบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilitios)
หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้าและเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามรถในการเรียนช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
ภายนอก
- เศรษฐกิจของครอบครัว
- การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
- สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
- การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
- วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ภายใน
- พัฒนาการช้า
- การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
- เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
- แสดงลักษณะเฉพาะ คือ ระดับสติปัญญาต่ำ
- มีความสามรถในการเรียนรู้น้อย
- มีความจำกัดทางด้านทักษะ
- มีพัฒนาการทางด้านร่างกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา(IQ) 4 กลุ่ม
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20 ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆ ได้เลยต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 ไม่สามารถเรียนได้ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองเป็นกิจวัตรประจะวันเบื้องต้นง่ายๆ 2 กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mantal Retardation)
3.เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 20-34 พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆ ได้สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนในระดับประถมศึกษาได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆ ได้ เรียกโดยทั่วไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูดหรือพูดได้ไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
- ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า
- รุนแรง ไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
เด็กบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องที่สูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การฟังเสียงต่างๆ ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือเด้กหุตึงและเด็กหูหนวก
เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินแต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB เด็กจะมีปัญหาในการฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพุดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ค่อยชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเบาหรือเสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 51-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีปัญหาทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยได้ด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูดเด็กหูหนวก
- เด็กสูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักจะตะแคงหูฟัง
- ไม่พูดมักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ถูดหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลกมักเปล่งเสียงสูง
- พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
- เวลาฟังมักจะมองปากผู้พูดหรือจ้องหน้าผู้พูด
- รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
- มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดคุย
เด็กบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองมไม่เห็นหรือพอเห็นแสงเห็นเลือนลาง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้ง 2 ข้าง
- สามารถมองเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา จำแนกได้ 2 ประเภท คือ ตาบอดและตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
- เด็กไม่สามารถมองเห็นได้เลยหรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุด 5 องศา เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18,20/60,6/60,20/200
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
- เด็กงุ่มง่าม ชนและสรุปวัตถุ
- มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศีรษะชิดกับงานหรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
- มีความลำบากในการจำและแยกแยะสีที่เป็นรูปร่างเรขาคณิต
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 เรียนในระดับประถมศึกษาได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆ ได้ เรียกโดยทั่วไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูดหรือพูดได้ไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
- ความคิดและอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า
- รุนแรง ไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
เด็กบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องที่สูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การฟังเสียงต่างๆ ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือเด้กหุตึงและเด็กหูหนวก
เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินแต่สามารถรับข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB เด็กจะมีปัญหาในการฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพุดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ค่อยชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเบาหรือเสียงผิดปกติ
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 51-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีปัญหาทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยได้ด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูดเด็กหูหนวก
- เด็กสูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักจะตะแคงหูฟัง
- ไม่พูดมักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ถูดหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลกมักเปล่งเสียงสูง
- พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
- เวลาฟังมักจะมองปากผู้พูดหรือจ้องหน้าผู้พูด
- รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
- มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดคุย
เด็กบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองมไม่เห็นหรือพอเห็นแสงเห็นเลือนลาง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้ง 2 ข้าง
- สามารถมองเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา จำแนกได้ 2 ประเภท คือ ตาบอดและตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
- เด็กไม่สามารถมองเห็นได้เลยหรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุด 5 องศา เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18,20/60,6/60,20/200
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น
- เด็กงุ่มง่าม ชนและสรุปวัตถุ
- มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศีรษะชิดกับงานหรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
- มีความลำบากในการจำและแยกแยะสีที่เป็นรูปร่างเรขาคณิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น